กำพลฟาร์ม สร้างพื้นที่ 14 ไร่ ปลูกหมามุ่ยอินเดีย ผลิตภัณฑ์เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ
- Genres:กสิกรรม(พืช), อาชีพ
วีดีโอ เกษตร : กำพลฟาร์ม สร้างพื้นที่ 14 ไร่ ปลูกหมามุ่ยอินเดีย ผลิตภัณฑ์เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ
ไปดูกำพลฟาร์ม สร้างพื้นที่ 14 ไร่ ปลูกหมามุ่ยอินเดีย พร้อมส่งผลิตภัณฑ์ขายตามปั้มน้ำมัน ปตท. เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ใครอยากปลูกต้องดู!!!
++++++++++
หมามุ่ยอินเดีย
หมามุ่ยอินเดียเป็นพืชวงศ์เดียวกับหมามุ่ยของไทย ตามตำรายาโบราณของไทยมีการนำส่วนต่างๆของหมามุ่ยมาใช้เป็นยา หากนำเมล็ดมาคั่วกินทั้งเมล็ด กล่าวไว้ว่าเสริมกำหนัด บางตำรับนำรากมาตากแดดให้แห้งแล้วตำเป็นผงกินแก้ปวดเมื่อย ช้ำใน หรือนำรากมาต้มกินแก้ไอ ใช้เมล็ดตำเป็นผงพอกแก้พิษแมงป่องกัด ส่วนสรรพคุณอื่นๆมีการกล่าวไว้คือเพิ่มคุณภาพและปริมาณของอสุจิช่วยเรื่องการมีบุตรยาก ซึ่งในประเทศไทยมีผู้ผลิตยาผงสมุนไพรหมามุ่ยออกจำหน่ายโดยระบุสรรพคุณว่า “บำรุงกำลัง บำรุงสมอง เสริมสมรรถภาพ ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า” โดยไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
หมามุ่ยถูกใช้มานานกว่า 1,000 ปีก่อนยุคคริสตกาลในประเทศอินเดีย และมีรายงานการวิจัยเกี่ยวกับสาระสำคัญในหมามุ่ยมานานกว่า 30 ปี ชื่อทางพฤกษศาสตร์ของหมามุ่ยคือ Mucuna pruriens ซึ่งในวารสารทางวิทยาศาสตร์ระบุว่ามีสารออกฤทธิ์ที่มีสรรพคุณในการบรรเทาอาการของโรคพาร์กินสันเป็นส่วนประกอบ
ได้แก่สารเลโวโดปา (levodopa) สาระ สำคัญอื่นๆในหมามุ่ยยังมีอีกหลายชนิดแต่มีในปริมาณน้อย เช่น serotonin, bufotenin และ nicotine ซึ่งมักพบในส่วนของใบและราก พบว่าสารสกัดหมามุ่ยมีผลเล็กน้อยต่อคุณภาพและปริมาณของอสุจิ มีผลเล็กน้อยต่อการเพิ่มปริมาณฮอร์โมนเพศชาย (testosterone) และมีผลเล็กน้อยต่อความเครียดจากการลดปริมาณของฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol)
การนำหมามุ่ยมาใช้อย่างไม่ถูกวิธีมีอันตรายสูง เช่น มีรายงานการเกิดโรคจิตแบบเฉียบพลันในชาวโมซัมบิกจำนวนถึง 203 คนจากการกินเมล็ดดิบที่ไม่ผ่านความร้อนเป็นอาหาร ในช่วงที่มีความอดอยากอย่างรุนแรงในประเทศ ส่วนการแพ้อย่างรุนแรงของ น.ส.ศตพร พันทอง หรือน้องมิลล์ ซึ่งเสียชีวิตลงหลังกินสารสกัดหมามุ่ยอินเดียตามข่าวยังไม่พบรายงาน ทั้งนี้ นายแพทย์สมบัติ ผดุงวิทย์วัฒนา รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตรัง ระบุว่าอาการแพ้ชนิดรุนแรงของน้องมิลล์ ถามจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้วพบว่าน่าจะเป็นชนิด Toxic Epidermal Necrolysis (TEN)
ผลข้างเคียงจากสารเลโวโดปาที่พบในเมล็ดหมามุ่ย โดยเฉพาะเมื่อได้รับในปริมาณสูงหรือใช้กับผู้สูงอายุ เช่น เวียนศีรษะ ง่วงซึม ตาพร่า คลื่นไส้ อาเจียน ปากแห้ง เบื่ออาหาร แสบร้อนในอก ท้องร่วง แน่นจมูก ไอ เจ็บกล้ามเนื้อ ชา นอนไม่หลับ ฝันแปลกๆ ผื่นขึ้น คัน ความดันเลือดตกขณะเปลี่ยนท่า ประสาทหลอน ซึมเศร้า ติดการพนัน ติดช็อปปิ้ง เป็นต้น
หมามุ่ยเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง การออกฤทธิ์เกิดจากชนิดของสารเคมีที่มีอยู่ในสมุนไพร ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ทำนองเดียวกันกับการกินยา รวมทั้งอาจแพ้สารเคมีในสมุนไพรเหล่านั้นได้เช่นเดียวกับการแพ้ยา โดยเฉพาะกรณีของหมามุ่ยหากมีการปนเปื้อนของสารที่กระตุ้นการแพ้ซึ่งพบที่ขนของฝักหมามุ่ยในกระบวนการผลิตก็อาจชักนำให้เกิดการแพ้ได้ง่ายขึ้น
ปัจจุบันหลายประเทศมีการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้หมามุ่ยในการผลิตเป็นยาสมุนไพร เช่น คณะกรรมการด้านวิชาการยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของอาเซียน (ASEAN TMHS Scientific Committee, ATSC) กำหนดว่าหมามุ่ยเป็นพืชชนิดหนึ่งที่ถูกกำหนดเป็นสารที่จำกัดการใช้ในยาแผนโบราณ ทั้งนี้ ประเทศที่ห้ามใช้ ได้แก่ สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย กัมพูชา เวียดนาม บรูไน รวมทั้งประเทศไทย
นอกจากนั้น หมามุ่ยทุกสายพันธุ์ยังเป็นพืชที่ห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เนื่องจากมีสารที่เป็นอันตรายนอกเหนือจากเลโวโดปา เช่น นิโคติน (nicotine) และไฟโซสติกมีน (physostigmine) ซึ่งทำให้เกิดอาการใจสั่น มีฤทธิ์ต่อจิตประสาท ประสาทหลอน และความดันเลือดต่ำ
ส่วนหน่วยงานของสหภาพยุโรปคือ European Food Safety Authority (EFSA) ระบุว่า ทุกส่วนของหมามุ่ยมีสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ หากนำมาใช้ในอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่ง EFSA ใช้เอกสารนี้ในการพิจารณาประเมินความปลอดภัยของพืชที่ใช้ในอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า สาระสำคัญในหมามุ่ยส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาทในสมองและฮอร์โมนหลายชนิดในร่างกาย อันตรายต่อระบบต่างๆของร่างกายยังไม่เป็นที่ทราบอย่างแน่ชัด ต้องมีการนำสารสกัดหมามุ่ยมาทำการศึกษาตามระบบวิจัยทางการแพทย์ที่รัดกุมจึงจะยืนยันสรรพคุณและอันตรายได้ โดยเฉพาะเมื่อนำไปใช้กับผู้มีโรคประจำตัว เช่น เป็นโรคตับ โรคไต โรคภูมิแพ้ หรือโรคทางสมอง เป็นต้น รวมทั้งไม่อาจรู้ได้ว่าหากใช้ร่วมกับยารักษาโรคชนิดต่างๆจะเกิดผลในทาง “ยาตีกัน” หรือไม่อย่างไร
ปัจจุบันสมุนไพรหลายชนิดได้รับการบรรจุไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ฉบับยาสมุนไพร หลังผ่านการพิจารณาว่ามีความจำเป็นเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขของประเทศ โดยมีหลักฐานที่เชื่อถือได้สนับสนุนสรรพคุณและความปลอดภัย ซึ่งหมายถึงประชาชนจะได้ใช้สมุนไพรที่ได้ผ่านการรับรองสรรพคุณเหล่านั้นโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายผ่านระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการภาครัฐต่างๆ
ก่อนใช้สมุนไพรทุกชนิดควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษาหรือเภสัชกรก่อนเสมอว่าสมุนไพรนั้นจะส่งผลเสียต่อโรคที่เป็นอยู่หรือไม่ และแพทย์ผู้รักษาอนุญาตให้ใช้สมุนไพรเหล่านั้นหรือไม่ หากใช้สมุนไพรใดอยู่และยังไม่ได้แจ้ง ควรแจ้งแพทย์ในครั้งต่อไปที่แพทย์นัด พร้อมทั้งนำกล่องยา ขวดยา และฉลากยาสมุนไพรเหล่านั้นไปด้วยเสมอ นอกจากนี้ ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลการขึ้นทะเบียนเบื้องต้นได้เองจากเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1556.
คลิป : รอน เทิดพงศ์
ติดตาม : https://www.youtube.com/watch?v=Io2BQmaTn9M